ลักษณาวดี

ลักษณาวดี
ภาพถ่าย
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ แปะกิมโคย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ แปะกิมโคย แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2562

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ห้องสมุดบางกอกคุณค่าของการถ่ายภาพ




ห้องสมุด

ดอกเตอร์ วังการี







ดร.วังการี มาไธ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและผู้รับรางวัลโนเบล ด้านสันติภาพ ชาวเคนยา ผู้ซึ่งข้าพเจ้าและภรรยามีมิตรภาพอย่างอบอุ่น เขียนไว้ว่า ทุกคนที่เคยบรรลุความสำเร็จในเรื่องใด ๆ ล้วนเคยล้มลงหลายครั้ง แต่ทุกคนลุกขึ้นและสู้ต่อไป และนั่นคือสิ่งที่ดิฉันพยายามทำอยู่เสมอ บุคคลผู้ยิ่งใหญ่จะไม่ยอมแพ้
โปรดดำเนินชีวิตด้วยความตั้งใจที่จะท้าทายความยากลำบากอย่างกล้าหาญ ไมว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน และมีชัยชนะในที่สุด




วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เรื่องวันขึ้นปีใหม่





พระพุทธะ อาศัยอยู่ในจิตใจของเรา ตัวอย่างเช่น หินเหล็กไฟสามารถก่อให้เกิดไฟ และอัญมณีมีค่าในตัวมันเอง พวกเรามนุษย์ปุถุชนไม่สามารถมองเห็นทั้งขนตาที่อยู่ใกล้ หรือสวรรค์ที่อยู่ไกล เช่นเดียวกัน เราไม่สามารถมองเห็นว่าพระพุทธะมีอยู่ในจิตใจของเราเอง

ผู้ที่ลงมือเพียรพยายามอย่างแน่วแน่ต่อไปนั้น ยอดเยี่ยมที่สุด และน่าเคารพ ในขณะที่การก่อสร้าง ต้องใช้การต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่การทำลาย ทำได้ทันที จงอย่าให้ความชั่วร้ายใดๆ มาเข้าใกล้ และก้าวหน้าไปบนหนทางแห่งเกียรติยศอย่างแข็งขัน

คำว่า ธรรม คำเดียว ครอบคลุมโลกทั้งโลก จักรวาลทั้งหมด และคำสอนทั้งหมดของพระพุทธศาสนา ถ้าเข้าใจคำว่า ธรรม ว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริง และสิ่งนั้นก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จึงเป็นธรรม เพราะฉะนั้นในขณะนี้ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว ก็จะรู้ว่าไม่มีอะไรเลยซึ่งไม่ใช่ธรรม เสียงก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เพราะเหตุว่าเป็นของจริงที่เกิดขึ้นปรากฏให้พิสูจน์ได้ว่ามีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงนั้น ใครจะเรียกว่า ธรรม หรือไม่เรียกว่า ธรรม แต่ลักษณะสภาพนั้นก็เป็นธรรม

ธรรมนิพนธ์ประจำวันที่ 27กุมภาพันธ์ 2018

วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เสียงตุ๊กแก




วันนี้ฝนตกทั้ง ๆ ที่กำลังจะเข้าหน้าร้อนของปี 2018 เอาล่ะไหน ๆ ก็อากาศเย็นสบายและได้ยินเสียงตุ๊กแกร้อง(ได้ยินมาเป็นสัปดาห์ ๆ แล้ว)ก็ขอเข้าเรื่องเลย ผมเป็นคนที่ชอบตั้งกล้องวงจรปิดไว้ในบ้านไม่ได้ตั้งไว้จับขโมย ขโจรที่ไหนหรอกแต่ตั้งไว้ก็ไม่เสียหายอะไรก็ง่าย ๆ แค่มีโทรศัพท์มือถือเก่า ๆ 2 เครื่องจะไม่ใช้แล้วหรือกำลังใช้งานอยู่ก็ไม่ผิดกติกาขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยากแค่โหลด App มาติดตั้งไว้ทั้ง 2 เครื่องอีกเครื่องใช้เป็นกล้อง ส่วนอีกเครื่องหนึ่งก็ใช้ดูหรือจับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นและสามารถบันทึกเหตุการณ์ช่วงสั้น ๆ ได้ประมาณ 5 วินาที ถึง 30 วินาทีแค่นี้ก็พอถมเถแล้วเรื่องมีอยู่ว่า...

ผมตั้งกล้องไว้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงและมี Mode บนทึกภาพตอนกลางคืนได้ด้วยผมตั้งกล้องอยู่เป็นประจำทุกวันบ้านของผมเป็นลักษณะหอพักและมีกล้องวงจรปิดของยามอยู่ 2 จุด จุดแรกที่ทางเข้าหอพักและจุดที่ 2 ชั้นล่างของอาคารซึ่งยามเป็นผู้ดูแลส่วนกล้องของผมก็ตั้งอยู่ในห้องของผมเองถ้าจะไปนอกบ้านผมก็จะเปิดกล้องเอาไว้เพื่อดูเหตุการณ์จากภายนอกคือถ้าอยู่นอกบ้านก็จะสามารถเห็นเหตุการณ์ภายในบ้านได้ด้วยโดยเราจะ

เปิดดูเมื่อไรก็ได้เพียงแต่ต้องมี เนท เรื่องของเรื่องก็คือ วันหนึ่งผมไปทำธุระนอกบ้านผมก็เปิดกล้องไว้แล้วตรวจตราดูความเรียบร้อยก่อนออกไปผ่านไป 1 เดือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นพอย่างเข้าเดือนที่ 2 ก็เริ่มมีเหตุการณ์แปลก ๆ เช่นเสียงตุ๊กแกร้องซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยมีแล้วก็มีเสียงคนมาเคาะประตูพอไปเปิดดูก็ไม่
มีใครก็ไม่ได้คิดอะไร(คงเป็นหูแว่วไปเอง)พอ

เข้าเดือนที่ 3 ผมออกไปนอกบ้านตามปกติเปิดกล้องไว้ด้วยพอไปนอกบ้านระหว่างนั่งรถเมล์เพลิน ๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู คุณพระช่วย ! ใครมาอยู่ในบ้านของเราว่ะกลางวันแสก ๆ ผู้หญิงซ่ะด้วยผมยาวใส่ชุดนอนสีแดงหน้าตามองเห็นไม่ชัดเพราะอยู่ไกลกล้องจับไม่ได้เห็นอยู่สัก 7 วินาทีก็หายไปพอผมกลับเข้ามาที่หอพักก็เปิดประตูห้องแบบย่องเข้ามา(ห้องตัว

เอง)ก็ไม่มีอะไรทุกอย่างอยู่เรียบร้อยดีหรือว่าเราตาฝาดไปผมก็เอาเหตุการณ์ที่ผมบันทึกไว้ได้ไปให้ยามดูพอยามเห็นเท่านั้นแหละยามบอกว่า"คุณพี่ครับผู้หญิงคนนี้ชื่ออ้อยแขวนคอตายที่ห้องพี่เมื่อปี 2015"เท่านั้นแหละผมแทบลมจับนี่ตาเราไม่ได้ฝาดและเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ได้ก็เป็นเรื่องจริงทำงัยดีว่ะผมรีบโทรศัพท์ไปหาเพื่อนและขอนอนค้างบ้านเพื่อนสัก 1 คืน แล้วค่อยมาย้ายหาที่อยู่ใหม่ทันที

วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Ghost 2011

ที่เก็บอัฐิวัดเล่งเน่ยยี่ปี 2006


พูดถึงเรื่องผี หรือเรื่องลี้ลับที่ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้นั้นมีทุกชนชาติและทุกภาษาแตกต่างกันออกไป เรื่องทั้งหลายจะมีจริงหรือไม่กำลังรอการพิสูจน์

มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้กับผู้เขียนเมื่อวันจันทร์ที่ 27 มิถนายน 2011 เวลาประมาณบ่าย 2 โมงกว่า ๆ ผมเจอโอปปาติกะ ตอนกลางวันกล่าวกันว่าถ้าขณะใดจิตเรานิ่งพอแล้วอาจสัมผัสได้ถึงสิ่งลี้ลับวันดังกล่าวผมนั่งโพสกระทู้อยู่คนเดียวในบ้านซึ่งบ้านของผมนั้นเป็นลักษณะคอนโดมิเนียมปิดประตูเรียบร้อยมิดชิดตลอดเวลาและในวันนั้นผมก็ได้ได้ยินเสียงมาคนมารื้อข้าวของใกล้ ๆ กับคอมพิวเตอร์ที่ผมนั่งอยู่ห่างกันไม่ถึง 1 เมตรผมก็สงสัยว่าเสียงอะไรเดินไป

ดูข้าวของก็อยู่เรียบร้อยปกติไม่มีร่องรอยการถูกรื้อค้นแต่ประการใดผมก็เปิดประตูบ้านเจอเลยเป็นเด็กสาววัยรุ่นใส่เสื้อสีเหลืองกางเกงวอร์มเหมือนชุดเล่นกีฬาบอกว่าพี่หนูเอาไม้กวาดมาคืนผมก็นึกว่าคืนผิดห้องก็เลยรับไม้กวาดเอาไว้อย่างงง ๆ แล้วมานึกดูว่าผมมีไม้กวาดใหม่ ๆ อยู่อันหนึ่งยังไม่ได้ใช้เก็บไว้ในซอกที่วางของ พอนึกขึ้นได้ผมก็เดินไปดูว่าไม้กวาดอยู่หรือเปล่า ปรากฏว่าไม้กวาดที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่แล้วแสดงว่า ไม้กวาดที่เด็กสาวคนนั้น

เอามาคืนผมก็เป็นไม้กวาดของผมเองไม่ได้คืนผิดห้องหรือคืนผิดคนต่อมาผมจึงจุดธูปบอกว่าน้องเป็นโอปปากิกะหรือเปล่า ? ถ้าเป็นวิญญาณก็ขอให้มาดี มีเรื่องจะคุยด้วยแต่ก็เงียบมีแต่เสียงทุบประตูบ้าง เคาะโน่น เคาะนี่บ้างมากวนใจเล่น ๆ ซ่ะงั้นผมอยู่กับเสียงปริศนามาหลายปีถามคนอื่นเค้าก็บอกว่าได้ยินเหมือนกันแต่ไม่ได้สนใจงั้นก็แสดงว่า

หูของผมฟังไม่ผิดแล้วก็ไม่ได้ตาฝาดเด็กสาวคนนั้นเอาไม้กวาดมาคืนจริง ๆ แล้วเค้ารู้ได้อย่างไรว่าบ้านของผมมีไม้กวาด แล้วไม้กวาดก็เก็บไว้ในซอกอย่างมิดชิดกะว่าอันที่ใช้อยู่เสียจะได้ไม่ต้องซื้อใหม่ไม่ได้นึกว่าจะเจอกับตัวเองเพราะผมไม่ได้ไปสวดมนต์นานแล้วเหมือนกันประมาณ 1 เดือนเห็นจะได้ผมจุดธูปบอกเขาก็ไม่มาหารอตั้งหลายวันแล้วผมคิดว่าถ้ามาก็ขอให้มาดีมีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ไม่ต้องเกรงใจหรอกจากวันนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยเจอเด็กสาวคนนี้อีกเลย

ถ้าทำดีจะเคราะห์ร้ายหรือ เพราะฉะนั้น เมื่อเคราะห์ร้ายเกิดจากการทำไม่ดี ก็ทำดีเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีเคราะห์ร้ายต่อไป ไม่ดีหรือ ?

วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560

โรงภาพยนต์ในอดีต



สวัสดีครับสำหรับท่านที่เพิ่งมา Blog แห่งนี้บังเอิญไปได้บทความน่าสนใจมาจึงนำมาแบ่งปันเป็นความรู้ประดับสมองมันมีประโยชน์แน่ ๆ ครับสำหรับเด็กรุ่นใหม่เกี่ยวกับโรงภาพยนต์ ในยุคสมัยนี้ย้ายมาอยู่ในห้างจนหมดแล้วซึ่งเมื่อก่อนโรงภาพยนต์กระจัด - กระจายอยู่ในที่ต่าง ๆ ซึ่งชัยภูมิของแต่ละที่จึงไม่เหมือนกัน

โรงหนังเป็นสถานที่ที่จัดฉายหนังให้ความบันเทิงแก่ผู้คนมาช้านานก่อนที่ทีวีและวีดีโอจะเข้ามาแบ่งตลาดส่วนนี้ออกไป แต่เดิมการสร้างโรงหนัง ไม่ว่าจะในกรุงเทพฯหรือต่างจังหวัดจะสร้างเป็นอาคารหลังเดี่ยวเพื่อให้ดูโดดเด่น มีอาณาบริเวณกว้างขวาง จะเป็นโรงชั้นเดียวหรือสองชั้น จะสร้างจากไม้หรือจากปูน จะติดพัดลมหรือจะติดแอร์ก็ได้ตามแต่ท้องถิ่นนิยม ส่วนการฉายหนังก็จะไม่ฉายเรื่องเดียวกันหลายโรงพร้อมกันทั่วประเทศเหมือนอย่างทุกวันนี้ แต่จะฉายโรงเดียวและยืนโปรแกรมนานอยู่เป็นเดือน ๆ จนเมื่อคนดูลดน้อยลง จึงถอดโปรแกรมออกไปฉายในจังหวัดอื่นต่อไป

โรงหนังยังเป็นสถานที่นัดพบ ฟังเพลง พูดคุยกันตลอดจนรับฟังข่าวสารเกี่ยวกับหนังและโฆษณาต่าง ๆ เพราะแต่ละโรงจะมีใบปิด โชว์การ์ด โปสเตอร์หนังมาติดประกาศไว้ให้ดูก่อนล่วงหน้านานเป็นเดือน ๆ ในยุคที่ละครวิทยุอย่าง คณะแก้วฟ้า เกศทิพย์ กำลังโด่งดัง เจ้าของหนังจะเอาหนังที่จะฉายนั้นไปทำเป็นละครวิทยุออกกระจายเสียงให้คนได้ฟังก่อน ซึ่งเป็นการโฆษณาที่ได้ผลอย่างมากเพราะถ้าละครเรื่องไหนเป็นที่ถูกอกถูกใจคนฟังมาก ๆ ก็จะมีคนไปดูหนังมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งแต่เดิมใครอยากจะดูหนัง ก็ต้องไปดูที่โรงหนังเท่านั้น ส่วนใครที่ไม่อยากจะเสียเงิน ก็ต้องรอดูจากหนังกลางแปลง แต่คนก็ชอบที่จะไปดูหนังวันแรก ๆ โดยเฉพาะรอบปฐมทัศน์ซึ่งจะมีรายการพิเศษก่อนฉายหนัง

ต่อมาเมื่อวีดีโอเทปได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ธุรกิจโรงหนังที่เคยรุ่งเรืองก็ต้องสะดุดหยุดลง ยิ่งค่าเช่าวีดีโอถูกกว่าค่าตั๋วด้วยแล้ว คนก็เลือกที่จะดูวีดีโออยู่ที่บ้านมากขึ้น ความกระตือรือร้นที่จะออกจากบ้านไปดูหนังที่โรงจึงลดลงไปเรื่อย ๆ โรงหนังที่สร้างไว้ขนาดใหญ่ก็เริ่มมีคนดูบางตาจนไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ความเงียบเหงาของโรงก็ทำให้คนอื่น ๆ ไม่กล้าเข้าโรงหนังเพราะเกรงจะเกิดภัยที่คาดไม่ถึง จากที่เคยฉายเรื่องเดียว ก็ดิ้นรนมาฉายหนังควบเพื่อเรียกคน มีการปรับเปลี่ยนสภาพโรงให้มีขนาดเล็กลงบ้าง แต่ทนอยู่ได้ไม่นาน ก็เลิกกิจการไปทีละรายสองรายจนทุกวันนี้แทบไม่มีโรงหนังให้เห็น ดังนั้น ทีวี วีดีโอจึงตกเป็นจำเลยที่ 1 ที่ถูกเจ้าของโรงหนังตราหน้าว่า เป็นสิ่งที่ทำให้คนหมดความอยากที่จะออกไปดูหนังโรง ก่อนที่วีซีดีและดีวีดีจะเข้าแถวตามมาเป็นจำเลยร่วมอีกปัจจุบัน โรงหนังเก่า ๆ ในกรุงเทพฯ ต่างปิดตัวเองไปเรื่อย ๆ ซึ่งบางแห่งก็ยังพอมีสภาพเดิมให้เห็นอยู่บ้าง บางแห่งก็ถูกรื้อทิ้งและสร้างอาคาร

ประกอบกิจการอย่างอื่นไปแล้ว เวลาที่ผมเขียนถึงหนังไทยเก่า ๆ จึงมักจะบอกว่า หนังเรื่องนั้นเคยฉายที่โรงหนังไหนมาก่อนเพื่อไม่ให้คนลืมชื่อโรงหนังนั้น ๆ เพราะโรงหนังถือว่า เป็นสถานที่ที่เคยร่วมสร้างประวัติศาสตร์ให้กับหนังไทยมาก่อน เมื่อเขียนไปบ่อย ๆ คนก็อยากจะรู้ว่า โรงหนังนั้นมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ยังอยู่หรือไม่และอยู่ที่ตรงไหน ฉบับนี้จึงพาไปดูโรงหนังเก่า ๆ ในกรุงเทพฯ

ศาลาเฉลิมกรุง สร้างเมื่อปี 2473 สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อจะร่วมเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 150 ปี แต่เสร็จไม่ทันจึงได้เปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กรกฎาคม 2476 แต่พอเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีหนังส่งเข้ามาฉายก็เลยเปลี่ยนเป็นโรงละคร ต่อมาปี 2492 หนัง 16 ม.ม.เรื่องสุภาพบุรุษเสือไทย ที่สร้างโดยแท้ ประกาศวุฒิสาร ได้เข้าฉายและสามารถทำรายได้สูงสุดจนช่วยปลุกโรงหนังและทำให้หนัง 16 ม.ม.รุ่งเรืองขึ้นมา ส่วนบริเวณข้าง ๆ โรงหนัง ก็มีผู้คนในวงการตั้งแต่ผู้สร้าง ดารา ตัวประกอบ นักพากย์ คนเขียนโปสเตอร์ สายหนังต่างจังหวัดมาเปิดกิจการเป็นจำนวนมากจนถูกเปรียบว่าเป็น ฮอลีวู้ดเมืองไทย แม้ปัจจุบันโรงหนังนี้จะยังคงอยู่ในสภาพเดิม แต่ก็ได้ปรับให้เป็นทั้งโรงละครและศาลาเพลงด้วย

ศาลาเฉลิมไทย เริ่มแรกเปิดเป็นโรงละครในปี 2492 ต่อมาในปี 2496 จึงเปลี่ยนเป็นโรงหนัง เคยผ่านการฉายหนังดัง ๆ อย่างเช่น เรือนแพ (2504) เป็ดน้อย (2511) โทน (2513) แต่ที่ต้องจดจำก็คือ เขาสมิง (2516) เพราะขณะฉายได้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาขึ้นมาพอดี ต่อมาภายหลังจำต้องปิดตัวเองเพราะรัฐบาลต้องการใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อเปิดโล่งให้เห็นโลหะปราสาท วัดราชนัดดา ป้อมมหากาฬ ภูเขาทองและสร้างพระบรมราชานุสรณ์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อมกับพลับพลาต้อนรับราชอาคันตุกะ จึงต้องปิดโรงในเดือนมกราคม 2532 แต่ก่อนที่จะถูกรื้อทิ้งได้มีการแสดงละครเวทีเรื่องพันท้ายนรสิงห์ เป็นการสั่งลาโรงหนังแห่งนี้ด้วย

ศาลาเฉลิมธานี เป็นโรงหนังเก่าซึ่งเปิดฉายหนังมาแต่ปี 2461 ตั้งอยู่บริเวณตลาดนางเลิ้ง ที่เป็นจุดเด่นก็คือ เป็นโรงหนังที่ด้วยสร้างด้วยไม้มี 2 ชั้น ติดพัดลม แต่ต่อมาจุดเด่นก็กลายเป็นจุดด้อยเมื่อคนหันไปนิยมโรงหนังติดแอร์ โรงนี้จึงปิดกิจการในปี 2536 โดยก่อนหน้านั้นแทบจะไม่มีการปรับปรุงใด ๆ เลยและยังเคยใช้เป็นฉากในการถ่ายทำหนังมาแล้วหลายเรื่อง แม้จะเลิกกิจการแล้ว แต่ก็ยังมีสภาพโรงหนังให้เห็นอยู่มาจนถึงวันนี้

ศาลาเฉลิมบุรี เดิมชื่อโรงหนังสิงคโปร์ เคยเปิดฉายหนังต่างประเทศ แต่ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ก็มีหนังไทย 16 ม.ม.เข้ามาฉาย ซึ่งมักจะยืนโรงฉายคู่กับศาลาเฉลิมกรุง เพียงแต่จะใช้ทีมพากย์คนละทีมกัน พอมาถึงยุคหนัง 35 ม.ม. ก็ฉายทั้งหนังไทย หนังเทศสลับกันไปจนกระทั่งปิดกิจการ ซึ่งปัจจุบันมีการรื้อตัวอาคารโรงหนังออกเป็นที่โล่งเพื่อให้เช่าจอดรถยนต์

คาเธ่ย์ เยาวราช ประเดิมเปิดโรงด้วยหนังไทยในปี 2498 จากนั้นก็มีหนังไทยยืนโรงฉายตลอดมา แต่หนังที่ทำเงินล้านให้กับโรงก็คือหนังของดอกดิน กัญญามาลย์ เรื่องนกน้อย (มิตร-เพชรา) ก่อนที่จะมีหนังเรื่องพ่อปลาไหล (สมบัติ-เพชรา) ของเชิด ทรงศรี มาลบสถิติไป พอเข้ายุคหนัง 35 ม.ม.ก็เปิดฉายหนังต่างประเทศด้วย ซึ่งหนังอินเดียของทิวาราตรีเรื่องช้างเพื่อนแก้ว เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากเพราะเข้ามาเรียกทั้งเงินและน้ำตาไปจากคนดู

คิงส์ ควีนส์ แกรนด์ เป็นสามโรงดังย่านวังบูรพาซึ่งมีมาแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับความนิยมมากเพราะทำเลดีและเป็นที่ชุมนุมของวัยรุ่นในยุคนั้นซึ่งถูกเรียกว่า โก๋หลังวัง โรงหนังทั้งสามโรงนี้มีการฉายทั้งหนังไทยหนังเทศสลับกันไป ต่อมาโรงคิงส์และแกรนด์ก็ปิดกิจการ โดยมีการรื้ออาคารออกและสร้างใหม่เป็นห้างสรรพสินค้าเมอรี่คิงส์ วังบูรพา ส่วนโรงควีนส์นั้นแม้จะเลิกกิจการแล้ว แต่โครงสร้างตัวอาคารก็ยังมีอยู่ให้เห็นโดยใช้เป็นพื้นที่จอดรถยนต์

เอ็มไพร์ เป็นโรงหนังเก่าแถวปากคลองตลาดที่ป้ายหน้าโรงเขียนว่า โรงภาพยนตร์ไทย เอ็มไพร์ เปิดฉายหนังไทยมาตั้งแต่ยุคหนัง 16 ม.ม.จนมาถึงยุค 35 ม.ม.ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น เพชรเอ็มไพร์ แล้วมักจะฉายหนังยืนคู่กับโรงหนังเพชรรามา ก่อนที่จะเปลี่ยนมาฉายสองเรื่องควบตามกระแสและสุดท้ายก็ปิดโรงแล้วดัดแปลงเป็นห้างสรรพสินค้าก่อนที่จะมีภาพออกมาอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้

เฉลิมเขตร์ เชิงสะพานยศเส ซึ่งเปิดฉายหนังต่างประเทศ แต่ก็มีหนังไทยของค่ายละโว้ภาพยนตร์และค่ายอื่นแทรกโปรแกรมบ่อย ๆ หนังที่ทำเงินและสร้างชื่อเสียงให้กับโรงก็คือเงิน เงิน เงิน (มิตร-เพชรา) และเพชรตัดเพชร (มิตร-ลือชัย) โดยทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังเคยฉายหนังไทยเรื่องแหวนทองเหลือง (ไชยา-นัยนา) ซึ่งเป็นหนังที่มีความยาวมากที่สุดอีกด้วย แต่ต่อมาก็เลิกกิจการไป

ยังมี โรงหนังอีกหลายโรงเช่น เพชรรามา โคลีเซี่ยม พาราเมาท์ เอเธนส์ พาราไดซ์ อินทรา แอมบาสเดอร์ แมคเคนน่า เมโทร ฮอลีวู้ด ฯลฯ ซึ่งเกิดมาเป็นโรงหนังชั้นหนึ่งในยุคนั้น ๆ ต่อมามีการจับมือเป็นเครือโรงหนังเช่น เครือไฟว์สตาร์ เครือสหมงคลฟิล์ม โดยแต่ละเครือก็จะป้อนหนังให้ฉายพร้อมกันหลาย ๆ โรง ซึ่งปัจจุบันโรงหนังเหล่านี้ได้เลิกกิจการไปหมดแล้ว แต่มีอยู่โรงหนึ่งที่ยังไม่ทันได้เกิดก็แท้งเสียก่อนคือ โรงหนังชัยบัญชา ของพระเอกมิตร ชัยบัญชา ที่ซื้อที่ดินและเตรียมจะสร้างเป็นโรงหนังอยู่ตรงข้ามศาลาเฉลิมไทย แต่เมื่อมิตรเสียชีวิต โครงการต่าง ๆ ก็ต้องเลิกไปโดยปริยาย แม้ปัจจุบัน โรงหนังเก่า ๆ จะไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว แต่ก็ยังมีอีกโรงหนึ่งที่ยังมีหนังไทยในอดีตกลับมาฉายให้เราได้ดูได้ศึกษาคือ โรงหนังอลังการ ซึ่งเป็นโรงหนังเล็ก ๆ ของหอภาพยนตร์แห่งชาติ ศาลายา.....

อ้างอิงจาก Thaiflim Foundation

วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2560

คนค้าขายไม่ต้อนรับลูกค้า




ณ.บัดนี้จักนำส่วนหนึ่งของเวรัญชกัณฑ์ โดยย่อความมาให้อ่านกัน ขอจิบชาให้สบายอารมณ์และทดสอบคอมพิวเตอร์ก่อนก่อน หลายสิบวันผ่านมาแล้วผมไปซื้อของที่ร้านแห่งหนึ่งเราก็ตั้งใจที่จะไปอุดหนุนเขาเต็มที่แต่กิริยาของเขาไม่ต้อนรับลูกค้าเลยไม่ใช่ผมมีอุปทานน่ะเพราะผมก็เป็นพ่อค้าเหมือนกันผมสังเกตุหลายร้านแล้วเรื่องนี้ไม่ควรเอ่ยว่าร้านอะไรอยู่แห่งหนใดแต่พออีกหลายวันต่อมาผมไม่ซื้อของที่ห้าง

สรรพสินค้าได้รับการต้อนรับอย่างดีอีกทั้งพนักงานยกมือไหว้เป็นการให้เกียรติ์ลูกค้าทำไม่ถึงเป็นเช่นนี้ในส่วนตัวผมคิดว่า(คนต้องเท่ากับคน)ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องการเหยียดชนชั้นซึ่งเป็นเรื่องปกติในสังคมไทยแต่ผมเสียความรู้สึกดี ๆ และก็ไม่ไปเหยียบอุดหนุนร้านนั้นอีกเลยอันนี้ต้องเจอกับตัวเองถึงจะรู้น่ะ


การค้าใช่หยิบฉวย
กำไลช่วยให้อยู่รอด
ค้าไปใจอย่าถอด
มิเอาเปลียบกำไลเกิน
การค้าต้องลงแรง
หยาดเหงื่อแพงกว่าตัวเงิน
สรรค้าแข่งต้องเมิน

หูทวนลมบ้างประไร
การค้าได้เป็นทุน
ห้เจือจุนบุญทานไว้
เก็บออมรู้จ่ายใช้
ให้สมค่าราคาคน
การค้าต้องหยั่งมิตร
ต้องสุจริตไม่วกวน

ซื่อสัตย์เสนอสนน
ราคาขายจ่ายไม่แพง
การค้าหยั่งเลี้ยงชีพ
ต้องเร่งรีบต้องขันแข่ง
ลงทุนและลงแรง
ลุแก่เพียรมิอับจน
การค้าอย่างที่ชี้
ค้าอย่างนี้ตรากตรำทน
รวยจนมีทุกคน เพียงพออยู่อยู่พอเพียง.......ธรรมธวัช

เรื่อง เวรัญชพราหมณ์ พระวินัยปิฎก เล่ม 1

มหาวิภังค์ ปฐมภาค เวรัญชกัณฑ์

(1)โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เวรัญชพราหมณ์ได้สดับข่าวถนัดแน่ว่า ท่านผู้เจริญ พระสมณะโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยตระกูลประทับอยู่ ณ บริเวณต้นไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ก็แลพระกิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคองค์นั้น ทรงเป็นพระอรหันต์แม้เพราะเหตุนี้ ทรงตรัสรู้เองโดยชอบแม้เพราะเหตุนี้ ทรงบรรลุวิชชาและจรณะแม้เพราะเหตุนี้ เสด็จไปดีแม้เพราะเหตุนี้

ทรงทราบโลกแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นศาสดาของเทพและมนุษย์ทั้งหลายแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นพุทธะแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นพระผู้มีพระภาคแม้เพราะเหตุนี้ พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทพและมนุษย์ ให้รู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์ อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น เป็นความดี

ผู้ที่มีเพื่อนมากมีโอกาสมากกว่าในการเจริญเติบโตและพัฒนาตนเอง ดังนั้น พวกเขาจะทำให้สังคมดีขึ้นและนำไปสู่ความสุข ชีวิตที่พึงพอใจในทุกสถานการณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เช่น การสื่อสารการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันมีความสำคัญ เราจำเป็นต้องริเริ่มและรักษามิตรภาพและความสัมพันธ์กับคน

จำนวนมากทั้งภายใน(องค์กร)และสังคมโดยรวมชีวิตของเราจะเปิดออกและจะอุดมสมบูรณ์ตราบเท่าที่เรามีการกระทำดังกล่าวสิ่งที่เราเรียนรู้จากการเผชิญหน้าหรือเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ละอย่างนั้นสำคัญมาก ความสามารถในการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเริ่มต้นจากการสามารถจินตนาการความทุกข์ของเขา การเอาใจใส่ผู้อื่นเป็นผลจากการเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นเอง


SAM_0034 (Copy)

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เซียนแปะ





วันนี้ 30 November 2017 ตั้งใจว่าจะ Relax ซ่ะหน่อยก็เลยเดินออกกำลังกายไปเรื่อย ๆ ใช้เวลาเดิน 6 - 8 ชั่วโมงไปถึงท่ามหาราชใกล้ ๆ ท่าพระจันทร์เดินดูของไปเรื่อย ๆ ก็เห็นมีหลายร้านที่มีขายลอคเก็ต ของอาแปะ โง้วกิมโคย ราคาแต่ละร้านไม่เท่ากันรูปถ่ายของอาแปะก็มี ราคา 100 บาท ต่ำสุด 30 บาทในเว็บ ฯ นักเล่นพระขายกัน 10,000 กว่าบาทก็มีแต่ผมไปได้เหรียญของอาแปะรุ่น 1 มาราคา 20 บาทถูกอย่างเหลือเชื่อเพราะเป็นของเก๊ ความจริงแล้วผมตั้งใจจะไปซื้ออาหาร เจ เพราะว่าตอนกลางวันผมกินข้าวต้มร้อน ๆ มีเต้าฮู้ยี้แล้วก็หนำเลี้ยบอร่อยอย่าบอกใครเชียวได้เหรียญของอาแปะ โง้วกิมโคยมาในราคา 20 บาทเผื่อว่าอาแปะโง้วกิมโคยจะคุ้มครองบ้างให้อยู่รอดปลอดภัยจาก(ภัย)อันตรายที่เกิดจากน้ำมือคนชั่ว

ประวัติของอาแปะ โง้วกิมโคย

ลอคเก็ตหินรุ่นแรก รูปไข่ เซียนแปะโรงสี(อ.โง้วกิมโคย) ท่านอาจารย์โง้วกิมโคย (แปะโรงสี)จอซัวแปะ นาย กิมเคย แซ่โง้ว เกิดที่ประเทศจีน ตำบลเท้งไฮ้ ได้เข้ามาประเทศไทย ตั้งแต่เด็ก อายุประมาณ 10 ปีเมื่อเติบโตพอที่จะประกอบอาชีพได้ ก็ได้รับจ้างทั่วไปรวมทั้งค้าข้าวเปลือก กิจการค้าข้าวเปลือกดีขึ้น จึงได้ร่วมหุ้นทำกิจการโรงสีข้าวที่ปากคลองบางโพธิ์ล่าง ปัจจุบันเป็นตำบลบางเดื่อ จังหวัดปทุมธานี และเมื่ออายุประมาณ 22 ปี ได้สมรสกับนาง นวลศรี เอี่ยมเข่ง มีบุตรด้วยกัน 10 คนคือ

1. นายเซียมจึง สมบูรณ์ธีระ
2. เสียชีวิตตอนเด็ก
3. นายธนิศ ทองศิริ
4. เสียชีวิตตอนเด็ก
5. นางยุพา แซ่แต้
6. นายรัตน์ ทองศิริ
7. นางยุพิน ภิญโญชีพ
8. เสียชีวิตตอนเด็ก
9. เสียชีวิตตอนเด็ก
10. นางยุวดี ทองคำปั้น พร้อมทั้งได้ย้ายมาประกอบกิจการโรงสีไฟของตนเอง ที่ปากคลองเชียงรากเยื้อง ๆ กับวัดศาลเจ้า โรงสีตั้งอยู่บนตำบลบางกะดี ในนามของ โรงสีไฟทองศิริ และได้โอนสัญชาติไทย พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น นายนที ทองศิริกิจการโรงสีดีขึ้น และมั่นคงขึ้นมาก เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เรียกขนานนามท่านว่า เถ้าแก่กิมโคย หรือ แปะกิมโคย แม้ว่าท่านจะเป็นคนจีนดั้งเดิมแต่ท่านก็ชอบทานหมากพลู เช่นชาวไทยทั่วไปในยุคนั้นหน้าวัดศาลเจ้า ริมแม่น้ำเจ้าพระยา กระแสน้ำเชี่ยว และเป็นวังวนมีศาลเจ้าไม้เล็กๆอยู่(ตามประวัติศาลเจ้าพ่อวัดศาลเจ้า) ซึ่งชาวบ้าน เรียกว่า ศาลเจ้าพ่อปู่ ชาวจีนเรียกว่า ปึงเถ่ากงม่า เมื่อท่านมีเวลาจะมาบูรณะ และคลุกคลีอยู่ที่ศาลเจ้าเป็นประจำ เนื่องจากท่านเป็นคนชอบช่วย

เหลือคน ชอบทักทาย และชี้แนะให้ทุกคนประกอบแต่ความดี เป็นที่เคารพและศรัทธาของผู้คนทั่วไปในช่วงนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวก ส่วนใหญ่การเดินทางจะเป็นทางน้ำ การบูรณะศาลเจ้าพ่อศาลเจ้าจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่ท่านก็ได้ดำเนินการอย่างไม่หยุดหย่อน และได้ใช้การพายเรือไปช่วยเหลือผู้คนตามสถานที่ต่างๆ จึงมีผู้มีจิตศรัทธาช่วยท่านให้สามารถบูรณะศาลเจ้าพ่อศาลเจ้าไม้เล็ก ๆ ริมน้ำมาเป็นศาลเจ้าที่เป็นเรือนไม้ขนาดใหญ่ได้นอกจากการบูรณะศาลเจ้าแล้ว ท่านยังเป็นผู้กำหนดวันในการจัดงานประจำปีของศาลเจ้าพ่อวัดศาลเจ้าเป็นวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 1 ถึงวันขึ้น 8 ค่ำเดือน1 รวม 4 วัน 4 คืน ซึ่งทางชาวจีนเรียกช่วงนี้ว่า เจียง่วย ชิวโหงว ถึง เจียง่วย ชิวโป้ย และถือเป็นประเพณีตลอดมาในการจัดงานประจำปี บางปีจะมีลมฝนมืดครึ้มคาดคะเนกันว่าจะมีพายุใหญ่ ท่านก็จะจุดธูปเพื่อปัดเป่าลม

ฝนไป ซึ่งฝนก็จะไม่ตก ท้องฟ้าแจ่มใส ผู้คนที่พบเห็นแจ้งว่าท่านอยู่ ระหว่าง เข้าทรงโดยเชื่อว่าท่านมีองค์ประทับอยู่ และยังเชื่อกันอีกว่าองค์ที่ประทับอยู่นั้นเป็นเจ้าพ่อปู่ของศาลเจ้าพ่อวัดศาลเจ้านั่นเอง เมื่อผู้คนที่มีความเชื่อมั่นและศรัทธา ขยายวง กล่าวออกไปในหมู่พ่อค้าทุก ๆ วงการค้า ทำให้ท่านมีศิษย์มากขึ้นและต่างเรียกท่านว่า หวยลั้งเซียนเมื่อการคมนาคมสะดวกขึ้น ผู้ที่ศรัทธาท่านจากแหล่งต่าง ๆ มาพบท่านและให้ท่านช่วยเหลือ ชี้แนะเกี่ยวกับฮวงจุ้ย ที่ตั้งบริษัท บ้าน ห้างร้าน และดูทำเลที่ตั้งฮวงซุ๊ยของบรรพบุรุษ ท่านก็ไปให้คำแนะนำ และชี้แนะทุกรายไป แม้กระทั่งไปยังต่างประเทศ ท่านก็ยังขึ้นเครื่องบินไปตามคำร้องขอซึ่งต้องจัดเตรียม หมากพลูไปด้วย ท่านช่วยเหลือบรรดาศิษย์ทุก ๆ ท่าน โดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย และไม่มีค่าตอบแทนใดๆ ผู้ที่ท่านชี้แนะมักประสพความสำเร็จในธุรกิจ กิจการรุ่งเรื่องเป็นที่รู้จักในวงการค้าทั่วไป พร้อมทั้งบอกเล่าต่อๆกันไปผู้ที่เคารพศรัทธาเรียกท่านว่า อาแปะ พร้อม

ทั้งขนานนามท่านว่า เซียนแปะ จนกระทั่งทุกวันนี้เมื่อประมาณปี พ.ศ.2518 ท่านได้ก่อสร้องตึกศาลเจ้าพ่อวัดศาลเจ้าใหม่ โดยปรับปรุงจากเรือนไม้เป็นอาคาร 8 เหลี่ยมทั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้ที่ ศรัทธาท่านและศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ทุกๆวงการรวมทั้งบุตรหลานในครอบครัวของท่าน โดยใช้เงินในการก่อสร้างกว่า 7 แสนบาท ก่อสร้างเสร็จเมื่อต้นปี พ.ศ.2519 พร้อมทั้งทำพิธีเปิดในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2519เซียนแปะ เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายผ่ายผอมลง หลังโค้งงอ แต่ก็ยังคงช่วยเหลือชี้แนะบรรดาศิษย์และผู้คนทั่วไปโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เช่นที่เคยปฏิบัติมาตลอด อย่างเสมอต้นเสมอปลาย จนเป็นที่

เคารพรักของบรรดาศิษย์ทุกคน จนกระทั่งอายุ 85 ปี เมื่อปลายปี พ.ศ.2525 ท่านเริ่มมีอาการอ่อนเพลียจนต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลพญาไทจนถึงเวลา 05.30 น.ของเช้าวันที่ 16 มกราคม 2526 ท่านก็ได้จบชีวิตลง จากครอบครัว และบรรดาศิษย์ทุกคนไปด้วยความสงบ นับเป็นการสูญเสียที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ หลังจากเสร็จพิธีงานศพท่าน บรรดาศิษย์ และครอบครัว ได้ทำการก่อสร้างศาลาเอนกประสงค์ไว้ที่หลังศาลเจ้าพ่อวัดศาลเจ้าโดยใช้ชื่อว่า ศาลานทีทองศิริ พร้อมทั้งตั้งรูปปั้นจำลองขนาดเท่าตัวจริง เพื่อไว้ให้เป็นที่สักการะ และเป็นที่พึ่งทางจิตใจแก่บรรดาศิษย์และผู้คนทั่วไป