ลักษณาวดี

ลักษณาวดี
ภาพถ่าย

วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Wake - up Sermon

1-IMG_0127


ปรากฏการณ์ทั้งหลายล้วนเป็นมายาจงอย่ายึดติดในปรากฏการณ์ใด ๆ เลย แล้วจิตเธอจะเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธะแต่เมื่อเธอเข้าใจ ความผิด ความผิดก็ไม่ใช่ความผิดเพราะว่าความผิดมิได้มีอยู่จริง พระสูตรกล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่มีธรรมชาติเฉพาะของมันเองจงกระทำโดยไม่ต้องลังเล - สงสัยความผิดเป็นผลของความสงสัย เมื่อเธอเข้าใจเช่นนั้นการกระทำที่ผิดพลาดของ เธอในอดีตก็ถูกลบล้างไปหมด เมื่อเธอหลงความรู้สึกสัมผัสทั้ง 6 และขันธุ์ทั้ง 5 ก็ประกอบไปด้วยความทุกข์และความตาย ต่อเมื่อเธอตื่นแจ้งขึ้นความรู้สึกสัมผัสทั้ง 6 และขันธุ์ 5 ก็ประกอบไปด้วยนิพพานและความไม่ตายบุคคล ที่กำลังหาทางจะไม่มองข้ามตนเองเขารู้ว่า จิต นั่นแหละคือทาง ๆ นั้นแต่เมื่อเขาพบ จิต เขากลับไม่ได้พบอะไรเลยและเมื่อเขาพบทางเขากลับไม่ได้พบอะไรเลยเช่นกัน หากเธอคิดว่าเธอสามารถใช้จิตค้นหาทางได้เธอกำลังหลงแม้แต่.เธอกำลังหลงความเป็นพุทธภาวะก็ยังคงมีอยู่กับเธอ แต่เมื่อเธอตื่นรู้พุทธะภาวะกลับมิได้จำเป็น

ต้องมีอยู่นี่ก็เพราะว่าความ ตื่นรู้คือพุทธะภาวะภายในตัวมันเอง ถ้าเธอมองหาทาง ๆ นั้นจะไม่ปรากฏจนกว่ารูปกายของเธอจะหายไปมันคล้ายกับการปลอกเปลือกต้นไม้นั่นเอง รูปกายแห่งกรรมนี้อยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลามันมิได้มีความจริงแท้แน่นอน การปฏิบัติอยู่ตรงความคิดเห็นอันหลายหลากของเธอนั่นเองจงอย่าได้เกลียดชีวิตและความตายหรือรักในชีวิตและความตายรักษาทุก ๆ ความคิดของเธอให้ปราศจากความหลงและในชีวิตของเธอจะประจักษ์แจ้งต่อนิพพานและ ในความตายเธอจะประสบ

ความมั่นใจต่อความไม่เกิดอีกการได้เห็นรูปแต่ไม่แปดเปื้อนด้วยรูป การได้ยินเสียงแต่ไม่แปดเปื้อด้วยการได้ยินเสียง คือ ความหลุดพ้น ตาที่ไม่ยึดติดในรูปคือประตูแห่ง Zen หูที่ไม่ยึดติดในเสียงก็คือประตูแห่ง Zen ว่าโดยสรุป ผู้ที่รับรู้ในการมีอยู่และเข้าใจปรากฏการณ์โดยไม่ยึดติดกับมันคือผู้หลุด พ้นบุคคลที่รับรู้ปรากฏการณ์แต่เพียงภายนอก โดยมิได้เข้าใจถึงธรรมชาติที่แท้ของมันก็จะหลงเข้าไปจมแช่อยู่ในปรากฏการณ์ นั้นการไม่ยึดติดจมอยู่ในปรากฏการณ์แห่งทุกข์คือความหมายของการหลุดพ้น มันมิได้มีความหลุดพ้นอื่นอีกเมื่อเธอรู้ว่าจะรับรู้รูปอย่างไร รูปก็จะไม่ปรุงจิต จิตก็จะไม่ปรุงรูปรูป และจิตก็ยังคง

ความบริสุทธิ์อยู่เช่นเดิม เมื่อความหลงหายไป จิตคือ ดินแดนแห่งพุทธะเมื่อความหลงปรากฏขึ้นอีก พลันจิตก็กลายเป็นแดนนรกปุถุชน มักสร้างความหลงโดยการใช้ จิต ทำให้จิต เกิดเขาก็จะพบตัวเองอยู่ในแดนนรก โพธิสัตว์ทั้งหลายเห็นแจ้งในความหลงและไม่ใช้จิต ทำให้จิตเกิดเขาก็จะพบตัวเองอยู่ในดินแดนพุทธะเสมอถ้าหากเธอไม่ใช้ จิต สร้างจิต ทุก ๆ สภาวะก็ล้วนว่างเปล่าและทุก ๆ ความคิดก็จะสงบนิ่ง เธอก็จะไม่เคลื่อนจากแดนพุทธะหนึ่งไปสู่อีกแดนหนึ่ง แต่ถ้าหากเธอใช้จิตของเธอสร้างจิตทุก ๆ สภาวะจิตก็จะถูกรบกวนและทุก ๆ ความคิดจะเคลื่อนไหววุ่นวายเธอก็จะเคลื่อนจากแดนนรกหนึ่งไปสู่อีกแดนนรก หนึ่ง เมื่อความคิดเกิดขึ้นมันก็มีกรรมดี และ กรรมชั่ว มีสวรรค์ และ มีนรกต่อเมื่อไม่มีความคิดเกิดขึ้น

มันก็ไม่มีกรรมดีและกรรมชั่วไม่มีนรกและ สวรรค์ ร่างกายไม่ใช่เป็นสิ่งมีอยู่หรือไม่มีอยู่ ดังนั้นการมีอยู่เหมือนกับปุถุชนและการไม่มีอยู่เหมือนเช่นปราชญ์คือบทสรุป ที่ว่าผู้รู้ทั้งหลายย่อมมิต้องกระทำอะไร ใจของเขาว่างเปล่าและกว้างขวางดุจท้องฟ้านั่นคือบุคคลที่อยู่ในพุทธมรรคอย่าง สมบูรณ์ ย่อมอยู่นอกเหนือความเป็นอรหันต์หรือปุถุชน เมื่อจิตถึงนิพพานเธอจะไม่เห็นนิพพานเพราะจิตนั่นคือนิพพาน หาก

เธอเห็นนิพพานในที่ใดที่หนึ่งนอกจิต เธอกำลังหลอกตัวเอง ทุก ๆ ความทุกข์คือเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะเพราะว่าความทุกช่วยผลักดันให้ปุถุชนเกิด ปัญญา แต่เธอสามารถ กล่าวได้เพียงว่าความทุกข์ให้กำเนิดพุทธภาวะเธอไม่สามารถกล่าว ว่าความทุกข์คือคือพุทธภาวะ กายและจิตของเธอคือผืนดิน ความทุกข์คือเมล็ดพันธุ์ ปัญญาคือลำต้นและพุทธภาวะคือหมากผล พุทธะในจิตคล้ายกับกลิ่นหอมของต้นไม้พุทธะมาจากจิตที่ปราศจากความทุกข์ เฉกเช่นกลิ่นหอมของต้นไม้ที่ปราศจากโคลนตม มันไม่มีกลิ่นหอมที่

ปราศจากต้นไม้และไม่มีพุทธะที่ปราศจาก จิต ถ้าหากว่ามันมีกลิ่นหอมที่ปราศจากต้นไม้ มันก็เป็นกลิ่นหอมที่แตกต่างกันออกไปถ้าหากมันมีพุทธะที่ปราศจากจิตมันก็ เป็นพุทธะที่แตกต่างกันออกไปเมื่อพิษทั้ง 3 เกิดขึ้นในจิตใจของเธอ เธอกำลังอาศัยอยู่ในดนแดนสกปรก เมื่อพิษทั้ง 3 อันตรธานไป จากจิตของเธอเธอกำลังอาศัยอยู่ในดิน แดนบริสุทธิ์ พระสูตรกล่าวไว้ว่าถมแผ่นดินด้วยสิ่งสกปรกและขยะหมายถึงโลภ โกรธ หลง พุทธะหมายถึงความบริสุทธิ์และจิตผู้ตื่นรู้มันไม่มีภาษาที่ไม่ใช่ธรรมการพูด ตลอดทั้ง
วันโดยมิกล่าวอะไรคือทาง ๆ นั้นการอยู่เงียบ ๆ ตลอดทั้งวันแต่ยังคงกล่าวหลายสิ่งหลายอย่างย่อมไม่ใช่ทาง ดังนั้นมันมิใช่คำพูดของตถาคตขึ้นอยู่กับความเงียบหรือความเงียบของท่านขึ้น อยู่กับคำพูดหรือว่ามีอยู่หากจากความเงียบของท่านบุคคลที่เข้าใจแจ้งชัดทั้ง คำพูดและความเงียบคือผู้อยู่ในสมาธิถ้าเธอพูดโดยเธอรู้อยู่คำพูดของเธอนั้น เป็นอิสระ ถ้าเธอเงียบเฉย โดยเธอไม่รู้ความเงียบของเธอได้ถูกมัดตรึง ถ้าคำพูดกับปรากฏการณ์มันเป็นอิสระถ้าความเงียบเฉยยึดติดกับปรากฏการณ์ มัน ก็ถูกยึดตรึงไว้ ภาษา

โดยเนื้อแท้แล้วมันเป็นอิสระมันไม่มีอะไรต้องทำเกี่ยวกับการยึดติดและการยึด ติดก็ไม่มีอะไรต้องทำเกี่ยวกับภาษา สัจจะความจริงไม่มีสูงและไม่มีต่ำหากเห็นว่ามันสูงมันต่ำมันก็มิใช่ความจริงแพนั้นไม่ใช่สิ่งจริงแต่ผู้โดยสารตะหากเป็นสิ่งจริงบุคคลที่โดยสารแพสามารถข้า สิ่งไม่จริงนั่นคือสาเหตุว่ามันจริง ในโลกมีทั้งผู้หญิง - ผู้ชาย เศรษฐีและคนยากจนแต่ในทาง ๆ นี้มันมิได้มีผู้หญิง - ผู้ชาย มิได้มีเศรษฐีหรือคนยากจนแม้นเมื่อเทพธิดาได้เห็นประจักษ์ในทางเธอไม่ได้ เปลี่ยเพศของเธอเมื่อเด็กชายธรรมดาตื่น

แจ้งต่อความจริงเขามิได้เปลี่ยนสถานะความเป็นเด็กของเขา เมื่ออิสระจากเพศและสถานะเขาทั้งหลายก็มีพื้นฐานลักษณะเดียวกัน เทพธิดาน้อยใช้เวลา 12 ปีเพื่อค้นหาความเป็นผู้ใหญ่แต่มิได้ผลสำเร็จการใช้เวลาค้นหาถึง 12 ปีสำหรับผู้ชายก็มิได้มิผลสำเร็จเช่นกัน 12 ปีนี้หมายถึงการเข้าถึง 12 ทาง (อาย ตะนะภายนอกและภายใน) เมื่อปราศจากจิตก็ไม่มีพุทธะเมื่อปราศจากพุทธะก็ไม่มีจิตเช่นเดียวกันเมื่อ ปราศจากน้ำก็ไม่มีน้ำแข็งเมื่อปราศจากน้ำแข็งก็ไม่มีน้ำเช่นเดียวกัน ใครก็ตามที่ยังบอกให้หนีหรือกำจัด

สภาวะของจิต เขาก็ยังไปไม่ถึงไหน จงอย่ายึดติดกับปรากฏการณ์ใด ๆ ของ จิต
การฟังธรรมด้วยความตั้งใจเป็นการเคารพพระธรรม การฟังธรรมเสมอ ๆ ความเข้าใจย่อมสะสมไปในภพหน้า ความถือตัว คือ มานะ ขณะมีมานะ ขาดความเมตตา ความเมตตาเจริญขึ้นเท่าไรความโกรธยิ่งน้อยลง เราต้องกรุณาแม้ความเห็นผิดของผู้อื่น

หมายเหตุ.........พิมพ์คัดลอกจากหนังสือคำสอน ดุจดังกระแสโลหิด



การสวดมนต์

IMG_0164



IMG_00000000914463

การฟังธรรม

1-IMG_0052 (Copy)

Lux Sana by puyana on Scribd

วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ป้าสุชาดา

IMG-0050



P_001090025020200109

วิทยุทรานซิสเตอร์

IMG_0025 (Copy)




แผ่เมตตาให้ศัตรู

DSCF018-10

การยกย่อง

IMG_0016

Kan Yougyong by pindhiva on Scribd

วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทางเสื่อม

P6230014 (Copy)



ปากวิถีสี่อย่างหนทางเสื่อม
อย่าอาจเอื้อมแตะต้องของฉิบหาย
โภคทรัพย์นับอนันต์พลันวอดวาย
คืออบายมุขแท้มีแต่ตรม

หนึ่งเป็นนักเลงหญิงที่เสื่อมเสีย
ผิดลูกเมียคบชู้ร่วมสู่สม
แม้ในหญิงเพศยาอย่านิยม
ลอบเชยชมหญิงชายร้ายเช่นกัน
สองเป็นนักเลงเหล้าเอาแต่ดื่ม

เมาจนลืมหลงใหลไปเกินขั้น
เช้าก็เฮ เย็นก็ฮา สารพัน
ทุกข์โทษทัณฑ์มากมายหลายประการ
สามเล่นพนันผันทรัพย์จนยับย่อย
มากหรือน้อยไม่เห็นเป็นแก่นสาร

เป็นนักเลงการพนันส่อสันดาน
ก่อรำคาญเคืองเข็ญอยู่เป็นนิจ
สี่คบค้าสมาคมจะสมมาย
คบสหายผ่องผุดสุจริต
หากคบคนชั่วมาเป็นมิตร
ก็จะคิดชักพาไปในทางเลว


Ghost 2011

ที่เก็บอัฐิวัดเล่งเน่ยยี่ปี 2006


พูดถึงเรื่องผี หรือเรื่องลี้ลับที่ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้นั้นมีทุกชนชาติและทุกภาษาแตกต่างกันออกไป เรื่องทั้งหลายจะมีจริงหรือไม่กำลังรอการพิสูจน์

มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้กับผู้เขียนเมื่อวันจันทร์ที่ 27 มิถนายน 2011 เวลาประมาณบ่าย 2 โมงกว่า ๆ ผมเจอโอปปาติกะ ตอนกลางวันกล่าวกันว่าถ้าขณะใดจิตเรานิ่งพอแล้วอาจสัมผัสได้ถึงสิ่งลี้ลับวันดังกล่าวผมนั่งโพสกระทู้อยู่คนเดียวในบ้านซึ่งบ้านของผมนั้นเป็นลักษณะคอนโดมิเนียมปิดประตูเรียบร้อยมิดชิดตลอดเวลาและในวันนั้นผมก็ได้ได้ยินเสียงมาคนมารื้อข้าวของใกล้ ๆ กับคอมพิวเตอร์ที่ผมนั่งอยู่ห่างกันไม่ถึง 1 เมตรผมก็สงสัยว่าเสียงอะไรเดินไป

ดูข้าวของก็อยู่เรียบร้อยปกติไม่มีร่องรอยการถูกรื้อค้นแต่ประการใดผมก็เปิดประตูบ้านเจอเลยเป็นเด็กสาววัยรุ่นใส่เสื้อสีเหลืองกางเกงวอร์มเหมือนชุดเล่นกีฬาบอกว่าพี่หนูเอาไม้กวาดมาคืนผมก็นึกว่าคืนผิดห้องก็เลยรับไม้กวาดเอาไว้อย่างงง ๆ แล้วมานึกดูว่าผมมีไม้กวาดใหม่ ๆ อยู่อันหนึ่งยังไม่ได้ใช้เก็บไว้ในซอกที่วางของ พอนึกขึ้นได้ผมก็เดินไปดูว่าไม้กวาดอยู่หรือเปล่า ปรากฏว่าไม้กวาดที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่แล้วแสดงว่า ไม้กวาดที่เด็กสาวคนนั้น

เอามาคืนผมก็เป็นไม้กวาดของผมเองไม่ได้คืนผิดห้องหรือคืนผิดคนต่อมาผมจึงจุดธูปบอกว่าน้องเป็นโอปปากิกะหรือเปล่า ? ถ้าเป็นวิญญาณก็ขอให้มาดี มีเรื่องจะคุยด้วยแต่ก็เงียบมีแต่เสียงทุบประตูบ้าง เคาะโน่น เคาะนี่บ้างมากวนใจเล่น ๆ ซ่ะงั้นผมอยู่กับเสียงปริศนามาหลายปีถามคนอื่นเค้าก็บอกว่าได้ยินเหมือนกันแต่ไม่ได้สนใจงั้นก็แสดงว่า

หูของผมฟังไม่ผิดแล้วก็ไม่ได้ตาฝาดเด็กสาวคนนั้นเอาไม้กวาดมาคืนจริง ๆ แล้วเค้ารู้ได้อย่างไรว่าบ้านของผมมีไม้กวาด แล้วไม้กวาดก็เก็บไว้ในซอกอย่างมิดชิดกะว่าอันที่ใช้อยู่เสียจะได้ไม่ต้องซื้อใหม่ไม่ได้นึกว่าจะเจอกับตัวเองเพราะผมไม่ได้ไปสวดมนต์นานแล้วเหมือนกันประมาณ 1 เดือนเห็นจะได้ผมจุดธูปบอกเขาก็ไม่มาหารอตั้งหลายวันแล้วผมคิดว่าถ้ามาก็ขอให้มาดีมีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ไม่ต้องเกรงใจหรอกจากวันนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยเจอเด็กสาวคนนี้อีกเลย

ถ้าทำดีจะเคราะห์ร้ายหรือ เพราะฉะนั้น เมื่อเคราะห์ร้ายเกิดจากการทำไม่ดี ก็ทำดีเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีเคราะห์ร้ายต่อไป ไม่ดีหรือ ?

วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560

โรงภาพยนต์ในอดีต



สวัสดีครับสำหรับท่านที่เพิ่งมา Blog แห่งนี้บังเอิญไปได้บทความน่าสนใจมาจึงนำมาแบ่งปันเป็นความรู้ประดับสมองมันมีประโยชน์แน่ ๆ ครับสำหรับเด็กรุ่นใหม่เกี่ยวกับโรงภาพยนต์ ในยุคสมัยนี้ย้ายมาอยู่ในห้างจนหมดแล้วซึ่งเมื่อก่อนโรงภาพยนต์กระจัด - กระจายอยู่ในที่ต่าง ๆ ซึ่งชัยภูมิของแต่ละที่จึงไม่เหมือนกัน

โรงหนังเป็นสถานที่ที่จัดฉายหนังให้ความบันเทิงแก่ผู้คนมาช้านานก่อนที่ทีวีและวีดีโอจะเข้ามาแบ่งตลาดส่วนนี้ออกไป แต่เดิมการสร้างโรงหนัง ไม่ว่าจะในกรุงเทพฯหรือต่างจังหวัดจะสร้างเป็นอาคารหลังเดี่ยวเพื่อให้ดูโดดเด่น มีอาณาบริเวณกว้างขวาง จะเป็นโรงชั้นเดียวหรือสองชั้น จะสร้างจากไม้หรือจากปูน จะติดพัดลมหรือจะติดแอร์ก็ได้ตามแต่ท้องถิ่นนิยม ส่วนการฉายหนังก็จะไม่ฉายเรื่องเดียวกันหลายโรงพร้อมกันทั่วประเทศเหมือนอย่างทุกวันนี้ แต่จะฉายโรงเดียวและยืนโปรแกรมนานอยู่เป็นเดือน ๆ จนเมื่อคนดูลดน้อยลง จึงถอดโปรแกรมออกไปฉายในจังหวัดอื่นต่อไป

โรงหนังยังเป็นสถานที่นัดพบ ฟังเพลง พูดคุยกันตลอดจนรับฟังข่าวสารเกี่ยวกับหนังและโฆษณาต่าง ๆ เพราะแต่ละโรงจะมีใบปิด โชว์การ์ด โปสเตอร์หนังมาติดประกาศไว้ให้ดูก่อนล่วงหน้านานเป็นเดือน ๆ ในยุคที่ละครวิทยุอย่าง คณะแก้วฟ้า เกศทิพย์ กำลังโด่งดัง เจ้าของหนังจะเอาหนังที่จะฉายนั้นไปทำเป็นละครวิทยุออกกระจายเสียงให้คนได้ฟังก่อน ซึ่งเป็นการโฆษณาที่ได้ผลอย่างมากเพราะถ้าละครเรื่องไหนเป็นที่ถูกอกถูกใจคนฟังมาก ๆ ก็จะมีคนไปดูหนังมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งแต่เดิมใครอยากจะดูหนัง ก็ต้องไปดูที่โรงหนังเท่านั้น ส่วนใครที่ไม่อยากจะเสียเงิน ก็ต้องรอดูจากหนังกลางแปลง แต่คนก็ชอบที่จะไปดูหนังวันแรก ๆ โดยเฉพาะรอบปฐมทัศน์ซึ่งจะมีรายการพิเศษก่อนฉายหนัง

ต่อมาเมื่อวีดีโอเทปได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ธุรกิจโรงหนังที่เคยรุ่งเรืองก็ต้องสะดุดหยุดลง ยิ่งค่าเช่าวีดีโอถูกกว่าค่าตั๋วด้วยแล้ว คนก็เลือกที่จะดูวีดีโออยู่ที่บ้านมากขึ้น ความกระตือรือร้นที่จะออกจากบ้านไปดูหนังที่โรงจึงลดลงไปเรื่อย ๆ โรงหนังที่สร้างไว้ขนาดใหญ่ก็เริ่มมีคนดูบางตาจนไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ความเงียบเหงาของโรงก็ทำให้คนอื่น ๆ ไม่กล้าเข้าโรงหนังเพราะเกรงจะเกิดภัยที่คาดไม่ถึง จากที่เคยฉายเรื่องเดียว ก็ดิ้นรนมาฉายหนังควบเพื่อเรียกคน มีการปรับเปลี่ยนสภาพโรงให้มีขนาดเล็กลงบ้าง แต่ทนอยู่ได้ไม่นาน ก็เลิกกิจการไปทีละรายสองรายจนทุกวันนี้แทบไม่มีโรงหนังให้เห็น ดังนั้น ทีวี วีดีโอจึงตกเป็นจำเลยที่ 1 ที่ถูกเจ้าของโรงหนังตราหน้าว่า เป็นสิ่งที่ทำให้คนหมดความอยากที่จะออกไปดูหนังโรง ก่อนที่วีซีดีและดีวีดีจะเข้าแถวตามมาเป็นจำเลยร่วมอีกปัจจุบัน โรงหนังเก่า ๆ ในกรุงเทพฯ ต่างปิดตัวเองไปเรื่อย ๆ ซึ่งบางแห่งก็ยังพอมีสภาพเดิมให้เห็นอยู่บ้าง บางแห่งก็ถูกรื้อทิ้งและสร้างอาคาร

ประกอบกิจการอย่างอื่นไปแล้ว เวลาที่ผมเขียนถึงหนังไทยเก่า ๆ จึงมักจะบอกว่า หนังเรื่องนั้นเคยฉายที่โรงหนังไหนมาก่อนเพื่อไม่ให้คนลืมชื่อโรงหนังนั้น ๆ เพราะโรงหนังถือว่า เป็นสถานที่ที่เคยร่วมสร้างประวัติศาสตร์ให้กับหนังไทยมาก่อน เมื่อเขียนไปบ่อย ๆ คนก็อยากจะรู้ว่า โรงหนังนั้นมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ยังอยู่หรือไม่และอยู่ที่ตรงไหน ฉบับนี้จึงพาไปดูโรงหนังเก่า ๆ ในกรุงเทพฯ

ศาลาเฉลิมกรุง สร้างเมื่อปี 2473 สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อจะร่วมเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 150 ปี แต่เสร็จไม่ทันจึงได้เปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กรกฎาคม 2476 แต่พอเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีหนังส่งเข้ามาฉายก็เลยเปลี่ยนเป็นโรงละคร ต่อมาปี 2492 หนัง 16 ม.ม.เรื่องสุภาพบุรุษเสือไทย ที่สร้างโดยแท้ ประกาศวุฒิสาร ได้เข้าฉายและสามารถทำรายได้สูงสุดจนช่วยปลุกโรงหนังและทำให้หนัง 16 ม.ม.รุ่งเรืองขึ้นมา ส่วนบริเวณข้าง ๆ โรงหนัง ก็มีผู้คนในวงการตั้งแต่ผู้สร้าง ดารา ตัวประกอบ นักพากย์ คนเขียนโปสเตอร์ สายหนังต่างจังหวัดมาเปิดกิจการเป็นจำนวนมากจนถูกเปรียบว่าเป็น ฮอลีวู้ดเมืองไทย แม้ปัจจุบันโรงหนังนี้จะยังคงอยู่ในสภาพเดิม แต่ก็ได้ปรับให้เป็นทั้งโรงละครและศาลาเพลงด้วย

ศาลาเฉลิมไทย เริ่มแรกเปิดเป็นโรงละครในปี 2492 ต่อมาในปี 2496 จึงเปลี่ยนเป็นโรงหนัง เคยผ่านการฉายหนังดัง ๆ อย่างเช่น เรือนแพ (2504) เป็ดน้อย (2511) โทน (2513) แต่ที่ต้องจดจำก็คือ เขาสมิง (2516) เพราะขณะฉายได้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาขึ้นมาพอดี ต่อมาภายหลังจำต้องปิดตัวเองเพราะรัฐบาลต้องการใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อเปิดโล่งให้เห็นโลหะปราสาท วัดราชนัดดา ป้อมมหากาฬ ภูเขาทองและสร้างพระบรมราชานุสรณ์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อมกับพลับพลาต้อนรับราชอาคันตุกะ จึงต้องปิดโรงในเดือนมกราคม 2532 แต่ก่อนที่จะถูกรื้อทิ้งได้มีการแสดงละครเวทีเรื่องพันท้ายนรสิงห์ เป็นการสั่งลาโรงหนังแห่งนี้ด้วย

ศาลาเฉลิมธานี เป็นโรงหนังเก่าซึ่งเปิดฉายหนังมาแต่ปี 2461 ตั้งอยู่บริเวณตลาดนางเลิ้ง ที่เป็นจุดเด่นก็คือ เป็นโรงหนังที่ด้วยสร้างด้วยไม้มี 2 ชั้น ติดพัดลม แต่ต่อมาจุดเด่นก็กลายเป็นจุดด้อยเมื่อคนหันไปนิยมโรงหนังติดแอร์ โรงนี้จึงปิดกิจการในปี 2536 โดยก่อนหน้านั้นแทบจะไม่มีการปรับปรุงใด ๆ เลยและยังเคยใช้เป็นฉากในการถ่ายทำหนังมาแล้วหลายเรื่อง แม้จะเลิกกิจการแล้ว แต่ก็ยังมีสภาพโรงหนังให้เห็นอยู่มาจนถึงวันนี้

ศาลาเฉลิมบุรี เดิมชื่อโรงหนังสิงคโปร์ เคยเปิดฉายหนังต่างประเทศ แต่ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ก็มีหนังไทย 16 ม.ม.เข้ามาฉาย ซึ่งมักจะยืนโรงฉายคู่กับศาลาเฉลิมกรุง เพียงแต่จะใช้ทีมพากย์คนละทีมกัน พอมาถึงยุคหนัง 35 ม.ม. ก็ฉายทั้งหนังไทย หนังเทศสลับกันไปจนกระทั่งปิดกิจการ ซึ่งปัจจุบันมีการรื้อตัวอาคารโรงหนังออกเป็นที่โล่งเพื่อให้เช่าจอดรถยนต์

คาเธ่ย์ เยาวราช ประเดิมเปิดโรงด้วยหนังไทยในปี 2498 จากนั้นก็มีหนังไทยยืนโรงฉายตลอดมา แต่หนังที่ทำเงินล้านให้กับโรงก็คือหนังของดอกดิน กัญญามาลย์ เรื่องนกน้อย (มิตร-เพชรา) ก่อนที่จะมีหนังเรื่องพ่อปลาไหล (สมบัติ-เพชรา) ของเชิด ทรงศรี มาลบสถิติไป พอเข้ายุคหนัง 35 ม.ม.ก็เปิดฉายหนังต่างประเทศด้วย ซึ่งหนังอินเดียของทิวาราตรีเรื่องช้างเพื่อนแก้ว เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากเพราะเข้ามาเรียกทั้งเงินและน้ำตาไปจากคนดู

คิงส์ ควีนส์ แกรนด์ เป็นสามโรงดังย่านวังบูรพาซึ่งมีมาแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับความนิยมมากเพราะทำเลดีและเป็นที่ชุมนุมของวัยรุ่นในยุคนั้นซึ่งถูกเรียกว่า โก๋หลังวัง โรงหนังทั้งสามโรงนี้มีการฉายทั้งหนังไทยหนังเทศสลับกันไป ต่อมาโรงคิงส์และแกรนด์ก็ปิดกิจการ โดยมีการรื้ออาคารออกและสร้างใหม่เป็นห้างสรรพสินค้าเมอรี่คิงส์ วังบูรพา ส่วนโรงควีนส์นั้นแม้จะเลิกกิจการแล้ว แต่โครงสร้างตัวอาคารก็ยังมีอยู่ให้เห็นโดยใช้เป็นพื้นที่จอดรถยนต์

เอ็มไพร์ เป็นโรงหนังเก่าแถวปากคลองตลาดที่ป้ายหน้าโรงเขียนว่า โรงภาพยนตร์ไทย เอ็มไพร์ เปิดฉายหนังไทยมาตั้งแต่ยุคหนัง 16 ม.ม.จนมาถึงยุค 35 ม.ม.ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น เพชรเอ็มไพร์ แล้วมักจะฉายหนังยืนคู่กับโรงหนังเพชรรามา ก่อนที่จะเปลี่ยนมาฉายสองเรื่องควบตามกระแสและสุดท้ายก็ปิดโรงแล้วดัดแปลงเป็นห้างสรรพสินค้าก่อนที่จะมีภาพออกมาอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้

เฉลิมเขตร์ เชิงสะพานยศเส ซึ่งเปิดฉายหนังต่างประเทศ แต่ก็มีหนังไทยของค่ายละโว้ภาพยนตร์และค่ายอื่นแทรกโปรแกรมบ่อย ๆ หนังที่ทำเงินและสร้างชื่อเสียงให้กับโรงก็คือเงิน เงิน เงิน (มิตร-เพชรา) และเพชรตัดเพชร (มิตร-ลือชัย) โดยทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังเคยฉายหนังไทยเรื่องแหวนทองเหลือง (ไชยา-นัยนา) ซึ่งเป็นหนังที่มีความยาวมากที่สุดอีกด้วย แต่ต่อมาก็เลิกกิจการไป

ยังมี โรงหนังอีกหลายโรงเช่น เพชรรามา โคลีเซี่ยม พาราเมาท์ เอเธนส์ พาราไดซ์ อินทรา แอมบาสเดอร์ แมคเคนน่า เมโทร ฮอลีวู้ด ฯลฯ ซึ่งเกิดมาเป็นโรงหนังชั้นหนึ่งในยุคนั้น ๆ ต่อมามีการจับมือเป็นเครือโรงหนังเช่น เครือไฟว์สตาร์ เครือสหมงคลฟิล์ม โดยแต่ละเครือก็จะป้อนหนังให้ฉายพร้อมกันหลาย ๆ โรง ซึ่งปัจจุบันโรงหนังเหล่านี้ได้เลิกกิจการไปหมดแล้ว แต่มีอยู่โรงหนึ่งที่ยังไม่ทันได้เกิดก็แท้งเสียก่อนคือ โรงหนังชัยบัญชา ของพระเอกมิตร ชัยบัญชา ที่ซื้อที่ดินและเตรียมจะสร้างเป็นโรงหนังอยู่ตรงข้ามศาลาเฉลิมไทย แต่เมื่อมิตรเสียชีวิต โครงการต่าง ๆ ก็ต้องเลิกไปโดยปริยาย แม้ปัจจุบัน โรงหนังเก่า ๆ จะไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว แต่ก็ยังมีอีกโรงหนึ่งที่ยังมีหนังไทยในอดีตกลับมาฉายให้เราได้ดูได้ศึกษาคือ โรงหนังอลังการ ซึ่งเป็นโรงหนังเล็ก ๆ ของหอภาพยนตร์แห่งชาติ ศาลายา.....

อ้างอิงจาก Thaiflim Foundation

วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2560

จุติ - ปฏิสนธิ



หัวข้อธรรมสั้น ๆ

ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอนสำหรับทุกคน ไม่ควรที่จะมีความติดข้องยินดีพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดในบุคคลผู้เป็นที่รักหรือสิ่งของอันเป็นที่รักเพราะเหตุว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่จะเป็นของเราอย่างแท้จริงแม้สิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตนของเราก็ไม่เที่ยงอยู่ได้แค่อายุที่ไม่มีใครจะรู้ได้ เพราะบางคนอาจจะตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์โดยที่ก้อนของ รูปยังไม่ครบส่วนต่าง ๆ เพราะเมื่อมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเป็นไป ก็ย่อมมีความตาย คือ จุติจิตเกิดขึ้นเป็นธรรมดาไม่ว่าจะในระยะเวลายาวสั้นมากน้อยเพียงใดก็ตาม การดำเนินชีวิตปกติประจำวันเป็นสิ่งที่สำคัญทุกคนจะต้องจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าอย่างแน่นอนแต่ว่าจะไปอย่างไรปลอดภัยหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตเป็นปกติประจำวันนี่เอง





เหตุแห่งความสุขสวัสดี




เหตุแห่งความสุขสวัสดี ความสุขสวัสดีเป็นที่ปรารถณาโดยทั่วไป ตามหลักพระพุทธศาสนา เหตุแห่งความสุขสสวัสดี พอประมวลได้เป็น 2 ประการคือ...........

1.พลังแห่งความปรารถณาดีต่อกัน เช่น บุตร์ธิดาต้องการความปรารถณาดีจาก บิดา - มารดา จึงขอพรจากท่าน บิดา - มารดามีความปรารถณาดีต่อ บุตร - ธิดาจึงอธิษฐานให้ลูกได้รับพรที่ดี พลังจิตที่ปรารถณาดีของทั้ง 2 ฝ่ายรวมกันทำให้เกิดความสุขสวัสดีได้จึงมีประเพณีขอพร และให้พรที่ถือปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน 2.การประพฤติธรรม ที่เป็นเหตุให้เกิดความสุขสวัสดี ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ 4 ประการคือ...........

1.ความฉลาด

2.ความพยายาม

3.ความระมัดระวัง

4.ความเสียสละ หากปฏิบัติรวมกันทั้ง 2 อย่างก็ยิ่งทวีความสุขสวัสดี

คัดจากลอกออกมาจาก...หนังสือธรรมมะให้ลูกดี สมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ)


การสวดอ้อนวอน




ชวนคิด - ชวนคุยเรื่องการสวดมนต์พวกเราส่วนใหญ่ยังสวดมนต์อ้อนวอนต่อสิ่งศักด์สิทธิ์ว่าสวดมนต์แล้วขอบ้าน - ขอรถยนต์หรือ ขอ หวย อยู่หรือเปล่า ครับปรับความเข้าใจเสียใหม่น่ะครับบางคนไปถอยรถป้ายแดงออกมาขับผู้เขียนเห็นไปนิมนต์พระมาเจิมจนเลอะเทอะเปอะเปื้อนหมดถอยรถออกมาถ้าขับไม่ระวังต่อให้เจิม ทั้งคัน ก็เปล่าประโยชน์ชวนคิด - ชวนคุยเพื่อให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักคำสอนขององค์

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การสวดมนต์เป็นการปฏิบัติที่สามารถเรียกและปลุกเร้าพลังอันไร้ขอบเขตจำกัดที่ซ่อนอยู่ในจักรวาลเล็กซึ่งทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้ ตีแตกเรื่องที่ดูเหมือนว่าอับจนหนทางแล้วไปได้ เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นความสุข ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและปฏิวัติจักรวาลเล็ก และเป็นแผนผังขนาดย่อของการเผยแพร่พระธรรมในชีวิตของเราการสวดมนต์เป็นสิ่งที่ดีแต่สวดมนต์แล้วไม่ต้องอธิษฐานขอโน่น - ขอนี่มันไม่ถูกต้อง
ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่ามนต์ก่อน เพราะ "มนต์" (ภาษาบาลี คือ มนฺต) หมายถึง ปัญญา บางครั้งก็มีคำว่า พุทธมนต์ (พระปัญญาของพระพุทธเจ้า) ด้วย และประการที่สำคัญ คือ มนต์ในทางพระพุทธศาสนา ต้องเป็นพระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเท่านั้น เช่น พระสูตร ต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งถ้าไม่ฟัง ไม่ศึกษา ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย การสวดมนต์จึงไม่ใช่จุดประสงค์เพื่อขอพร จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะนั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นไปเพื่อได้ เพื่อติดข้อง ไม่เป็นไปเพื่อละ สละขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องสวดมนต์โดยไม่เข้าใจ และ เพื่อหวังและอ้อนวอนเลย


ชั้นดุสิต.wma

คนค้าขายไม่ต้อนรับลูกค้า




ณ.บัดนี้จักนำส่วนหนึ่งของเวรัญชกัณฑ์ โดยย่อความมาให้อ่านกัน ขอจิบชาให้สบายอารมณ์และทดสอบคอมพิวเตอร์ก่อนก่อน หลายสิบวันผ่านมาแล้วผมไปซื้อของที่ร้านแห่งหนึ่งเราก็ตั้งใจที่จะไปอุดหนุนเขาเต็มที่แต่กิริยาของเขาไม่ต้อนรับลูกค้าเลยไม่ใช่ผมมีอุปทานน่ะเพราะผมก็เป็นพ่อค้าเหมือนกันผมสังเกตุหลายร้านแล้วเรื่องนี้ไม่ควรเอ่ยว่าร้านอะไรอยู่แห่งหนใดแต่พออีกหลายวันต่อมาผมไม่ซื้อของที่ห้าง

สรรพสินค้าได้รับการต้อนรับอย่างดีอีกทั้งพนักงานยกมือไหว้เป็นการให้เกียรติ์ลูกค้าทำไม่ถึงเป็นเช่นนี้ในส่วนตัวผมคิดว่า(คนต้องเท่ากับคน)ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องการเหยียดชนชั้นซึ่งเป็นเรื่องปกติในสังคมไทยแต่ผมเสียความรู้สึกดี ๆ และก็ไม่ไปเหยียบอุดหนุนร้านนั้นอีกเลยอันนี้ต้องเจอกับตัวเองถึงจะรู้น่ะ


การค้าใช่หยิบฉวย
กำไลช่วยให้อยู่รอด
ค้าไปใจอย่าถอด
มิเอาเปลียบกำไลเกิน
การค้าต้องลงแรง
หยาดเหงื่อแพงกว่าตัวเงิน
สรรค้าแข่งต้องเมิน

หูทวนลมบ้างประไร
การค้าได้เป็นทุน
ห้เจือจุนบุญทานไว้
เก็บออมรู้จ่ายใช้
ให้สมค่าราคาคน
การค้าต้องหยั่งมิตร
ต้องสุจริตไม่วกวน

ซื่อสัตย์เสนอสนน
ราคาขายจ่ายไม่แพง
การค้าหยั่งเลี้ยงชีพ
ต้องเร่งรีบต้องขันแข่ง
ลงทุนและลงแรง
ลุแก่เพียรมิอับจน
การค้าอย่างที่ชี้
ค้าอย่างนี้ตรากตรำทน
รวยจนมีทุกคน เพียงพออยู่อยู่พอเพียง.......ธรรมธวัช

เรื่อง เวรัญชพราหมณ์ พระวินัยปิฎก เล่ม 1

มหาวิภังค์ ปฐมภาค เวรัญชกัณฑ์

(1)โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เวรัญชพราหมณ์ได้สดับข่าวถนัดแน่ว่า ท่านผู้เจริญ พระสมณะโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยตระกูลประทับอยู่ ณ บริเวณต้นไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ก็แลพระกิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคองค์นั้น ทรงเป็นพระอรหันต์แม้เพราะเหตุนี้ ทรงตรัสรู้เองโดยชอบแม้เพราะเหตุนี้ ทรงบรรลุวิชชาและจรณะแม้เพราะเหตุนี้ เสด็จไปดีแม้เพราะเหตุนี้

ทรงทราบโลกแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นศาสดาของเทพและมนุษย์ทั้งหลายแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นพุทธะแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นพระผู้มีพระภาคแม้เพราะเหตุนี้ พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทพและมนุษย์ ให้รู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์ อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น เป็นความดี

ผู้ที่มีเพื่อนมากมีโอกาสมากกว่าในการเจริญเติบโตและพัฒนาตนเอง ดังนั้น พวกเขาจะทำให้สังคมดีขึ้นและนำไปสู่ความสุข ชีวิตที่พึงพอใจในทุกสถานการณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เช่น การสื่อสารการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันมีความสำคัญ เราจำเป็นต้องริเริ่มและรักษามิตรภาพและความสัมพันธ์กับคน

จำนวนมากทั้งภายใน(องค์กร)และสังคมโดยรวมชีวิตของเราจะเปิดออกและจะอุดมสมบูรณ์ตราบเท่าที่เรามีการกระทำดังกล่าวสิ่งที่เราเรียนรู้จากการเผชิญหน้าหรือเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ละอย่างนั้นสำคัญมาก ความสามารถในการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเริ่มต้นจากการสามารถจินตนาการความทุกข์ของเขา การเอาใจใส่ผู้อื่นเป็นผลจากการเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นเอง


SAM_0034 (Copy)